07 สิงหาคม 2551

สิ่งที่สนใจ คน 3 คน

ณ วัดบ้านไร่แห่งหนึ่ง หลวงตาเพิ่งกลับจากการบิณฑบาตเห็นลูกศิษย์วัดนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น จึงเข้าไปถามไถ่ว่าเป็นอะไร ลูกศิษย์ตอบกลับมาว่า 'ผมถูกใส่ร้าย ผมไม่ได้ขโมยเงินในหอพระ แต่ผมเข้าไปปัดกวาดเช็ดถูบ่อย ๆ ทุกคนก็หาว่าผมเป็นขโมย ไม่มีใครเชื่อผมเลย ฮือ ฮือ ' หลวงตานั่งลงข้าง ๆ พยักหน้าเข้าใจแล้วสอนลูกศิษย์ว่า'เจ้ารู้ไหม ในตัวเรามีคนอยู่สามคน คนแรกคือ คนที่เราอยากจะเป็น คนที่สองคือ คนที่คนอื่นคิดว่าเราเป็น คนที่สามคือ ตัวเราที่เป็นเราจริง ๆ 'ลูกศิษย์หยุดร้องไห้ นิ่งฟังหลวงตา'คนเราล้วนมีความฝัน ความทะยานอยาก ตามประสาปุถุชนทั่วไป ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย บางครั้งความฝันก็เป็นสิ่งสวยงาม เป็นพลังที่ทำให้เราก้าวเดิน เช่น บางคนอยากเป็นนักร้อง เป็นนักมวย เป็นดารา ถ้าถึงจุดหมายเราก็จะรู้สึกว่าโลกนี้ช่างสว่างไสวสวยงาม ดังนั้นเราควรมีความฝันไว้ประดับตน เพื่อเป็นเครื่อง หล่อเลี้ยงหัวใจ ''มาถึงไอ้ตัวที่สอง จะเป็นเราแบบที่คนอื่นยัดเยียดให้เป็น บางครั้งก็ยัดเยียดว่าเราดีเลิศ จนเราอาย เพราะจิตสำนึกเรารู้ดีว่ามันไม่จริงหรอก แต่เราก็ยิ้มรับ แต่บางครั้งไอ้ตัวที่สองนี้ก็มหาอัปลักษณ์ จนไม่อยากจะนึกถึง ซ้ำร้ายยังเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะมันเป็นโลกในมือคนอื่น มันเป็นสิ่งแปลกปลอมที่คนอื่นยื่นให้ ''อย่างคนขับสิบล้อจอดรถอยู่ข้างทางเฉย ๆ เช้ามาพบศพใต้ท้องรถ ก็ต้องขับรถหนี ทั้งที่ศพนั้น ถูกรถชนตายอีกฝั่งแล้วดันถลามาใต้ท้องรถ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนขับสิบล้อ บางคนก็ตัดสินไปแล้วว่าเขาเป็นฆาตกร ''สมัยที่หลวงตายังไม่ได้บวชเคยไปส่งเพื่อนผู้หญิงที่มีผัวแล้ว เพราะเห็นว่าบ้านเป็นซอยเปลี่ยว ส่งได้สองครั้งก็เป็นเรื่อง ชาวบ้านซุบซิบนินทา หาว่าเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน คนที่เห็นนั้นมองคนอื่นด้วยใจที่หยาบช้า ไร้วิจารณญาณ ใจแคบ มองคนอื่นผ่านกระจกสีดำแห่งใจตัวเอง คนเหล่านี้มีอยู่ทั่วไปในสังคม เจ้าต้องจำไว้นะ ทุกครั้งที่เราว่าคนอื่นเลว คนอื่นไม่ดี ก็เท่ากับเราประจานความมืดดำในใจตัวเองออกมา เห็นสิ่งไม่ดีของใครจงเตือนตัวเองว่าอย่าทำ อย่าเลียนแบบ นั่นแหละวิถ ี ของนักปราชญ์ ถ้าเอาไปว่าร้ายนินทาเรียกว่าวิถีของคนพาล ''แล้วเราต้องทำตัวอย่างไรละครับในเมื่อเราต้องเจอคนเหล่านั้นเรื่อย ๆ' ลูกศิษย์หยุดร้องไห้แล้วเริ่มสนทนาโต้ตอบหลวงตา 'เจ้าต้องทำความเข้าใจจิตใจมนุษย์ เรียนรู้ว่าความเข้าใจผิดเกิดขึ้นได้ เราห้ามใจใครไม่ได้ สิ่งใดที่เราไม่ได้ทำ ไม่ได้คิด ไม่ได้เป็น แต่คนอื่นคอยยัดเยียดให้เรา เราก็ไม่ควรให้ความสำคัญ เพราะเราสัมผัสได้ว่าสิ่งนั้นไม่มีอยู่จริง ใจเราควรสงบนิ่ง ยังไม่ต้องชำระ ใจคนอื่นต่างหากที่ควรซักฟอกให้ขาวสะอาดกว่าที่เป็นอยู่ เขาเหล่านั้นเป็นบุคคลที่น่าสงสารมีเวลามองคนอื่น แต่ไม่มีเวลามองตัวเอง จงแผ่เมตตาให้เขาไป เข้าใจใช่ไหม''เข้าใจครับหลวงตา' เด็กน้อยยิ้มมีความสุขอีกครั้ง สว่างตา ด้วยแสงไฟ สว่างใจ ด้วยแสงธรรมพุทธัง สรณัง คัจฉามิธัมมัง สรณัง คัจฉามิสังฆัง สรณัง คัจฉามิสรณะอื่น ไม่มี ชีวิตนี้เพื่อพระรัตนตรัย


บทความนี้ให้ประโยชน์คือ สอนให้คนเรารู้จักให้อภัยแก่ผู้อื่น ถ้าผู้อื่น ว่าร้ายเราในทางที่ไม่ดีเราควรจะให้อภัยเขาไป เพราะถ้าเราไปใส่ใจมากกับคำพูดของเขาเพียงเล็กน้อยก็จะทำให้จิตใจเราเป็นทุกข์ดังนั้นเราควรที่จะให้อภัยผู้อื่น จิตใจเราจะได้สะอาดขึ้น


ที่มา: http://variety.teenee.com/foodforbrain/9976.html

01 สิงหาคม 2551

ความรู้สึกเกี่ยวกับวิชาเตรียมฝึกประสบการณ์วิชาชีพ1

เป็นวิชาที่เหมือนจะเรียนแล้วสบายๆนะ
แต่จริงๆแล้วมานม๊ายช่ายเลย
โอ้โห กว่าจะเสนอโครงการได้ แล้วพอเสนอชื่อโครงการได้แล้วถึงเวลามาเขียนแผนการทำงาน
ไอ้ตรงนี้แหละที่มันยากมาก กว่าจะเสนอ ผ่านแต่ละที แก้เป็นว่าเล่น หลายรอบมากมาย
แต่ ตอนไปทำโครงการ สนุกดี นะ ได้ไปบวชด้วย ได้บุญได้บุญ ก็ ดี วัดแก่งกระจาน ร่มรื่นอยากไปอี๊ก
ถ้าใครว่างๆ ไม่มีไรเที่ยวก็ไปเที่ยวที่วัดแก่งกระจานได้ แถวๆวัดมีล่องแก่งด้วย หนุกๆน้ำเย๊นเย็นมากมาย
เข้าเรื่องต่อๆๆ เรื่องทำโครงการจบไปแล้วเหลือ แต่ การทำเว็บไซด์รวบรวมข้อมูลเท่านั้นแหละ
แล้วเข้าเรื่องวิชาเตรียมฝึกต่อ ป๊าดดดด อะไรมันจะปานนั้น เวลาไปเรียนกระโปรงต้องยาวแทบจะถึงตะตุ่มแล้ว
จะขึ้นรถเมล์แต่ละทีแทบจะสะดุดกระโปรงแหน่ะ เดินไม่ถนัดเลย มันขัดตรงเข่า เดินแล้วก้าวได้แคบๆ
กระโปรงต้องดึงขึ้นมาถึงกระดุมเม็ดที่สี่อีก ดูๆแล้วคล้ายๆกับสายันต์ ดอกสะเดา ยังไงก็ไม่รู้ 555
เวลาไปเรียนเตรียมฝึก ที มองเพื่อนผู้หญิงแต่ละคนแล้วตลก ที่ตลกเพราะมันผิดหูผิดตาไปเยอะไง เรียบร้อยกันทั้งนั้น
แต่ก็ ดี ที่แต่งตัวแบบนี้ แต่ถ้าแต่งแบบนี้ทุกวันคงอึดอัดแย่ อ้อ อีกอย่าง ทำไมต้องให้ไปเรียนที่ตึกวิทย์ด้วย รู้ไหมว่ามันลำบากเวลาไปอะ ต้องขึ้นรถไปอีก แล้วกว่าจะเลิกเรียนวิชาจริยธรรมธุรกิจก็ต้องตาเหลือกตาลานไปเรียนที่ตึกวิทย์ เสียค่ารถเพิ่มอีก ทำไมถ้าจะให้ไปเรียนที่นั่น เขาไม่มีรถไปรับไปส่งม่างอะ มหาลัยก็ออกจะรวยได้จากนักศึกษาไปเยอะ เอาไปทำไรกันหมด ที่มหาลัยก็มีที่ให้เรียน ทำไมไม่ให้เรียนในมหาลัยไปให้จบทีเดียวจะได้ไม่ต้องเร่ง เรียนเสร็จต้องรีบไปเรียนที่ตึกวิทย์โน่น น่าเบื่อ เฮ่อ ไม่มีไรจะเขียนต่อแล้ว นึกมิออกแล้วค๊า
แต่ไงก็ขอให้ได้ วิชานี้ ผ่านก็พอใจแล้ว ไม่อยากตก เพราะตกแล้วแก้ยากกกกกกกกกกกกอี๊ก ไม่อยากแก้
PS. ไม่มีไรพิมอีกต่อไป ขอจบแล้วกันเน้อ